
เริ่มชินกับการขับรถไปกลับ บ้าน-ที่ทำงานแล้ว
ระยะทางประมาณวันละ 120 กิโลเมตร
ตอนเช้าออกจากบ้านหนองแขม เวลา 6.00 น.
ขับแบบธรรมดา ก็จะถึงนิคมบางปูเวลา 7.00น. ไม่ขาดไม่เกิน
ตอนเย็นเลิกงานจะออกจากโรงงานประมาณ 16.50น.
และจะถึงบ้านพุดตานเวลา 18.00น.
เช้านี้ขับรถฟังข่าวมาเรื่อยๆ เวลาขับรถ
เป็นเวลาที่อยู่กะตัวเองทำให้จิตใต้สำนึกทำงาน
ส่วนมากก็เป็นเรื่องจั๊มนั่นแหละ
เช้านี้ก็เช่นกัน ฟังข่าวผ่านๆหูแต่ไม่ได้ใจความ
ประมาณจัดตั้งรัฐมนตรี...แต่ใจคิดถึงงานน้อง
เกือบปีแล้วนะเนี่ยเร็วจัง...ช่วงนี้ปีที่แล้วยังไปทำบุญตากันอยู่เลย
เสาร์นี้ก็ครบรอบทำบุญตาอีกครั้งที่วัดประยูร
ขับมาเรื่อยๆ จนขึ้นวงแหวนรอบนอกเปิดใหม่
ไฟกระพริบข้างหน้า อุบัติเหตุแน่ๆ
ใกล้ถึงจุดเกิดเหตุ ขวามือพบจักรยานล้มอยู่
ล้อหลังกะล้อหน้าเกือบรวมกัน
เมื่อจะผ่านจุดเกิดเหตุ นึกถึงจั๊ม
เมื่อก่อนจั๊มจะนั่งหน้าตลอดด้วยกันตลอด
เวลาผ่านจุดเกิดเหตุพี่เฟืองก็จะไม่มอง
หันหน้าออก แต่ครั้งนั้นเผอิญหันหน้าหนีศพข้างขวา
มาเจอสมองอยู่ด้านซ้าย...จั๊มก็จำมาพูดอยู่เสมอ
ว่าเวลาเจอเหตุอย่าหันซ้าย หันขวาให้ตั้งหน้าตรง
คราวนี้ด้วยความอยากรู้อยากเห็น
หันขวาไปมองอย่างตั้งใจ
ผู้ประสบเหตุเสียชีวิตแล้วล่ะ
เหลือเพียงครึ่งท่อนบนเท่านั้นเอง
เหมือนกับว่า พี่เค้าขี่จักรยานบนทางด่วน
ประกอบกับเพิ่งจะเริ่มสว่าง รถคงมองไม่เห็น
ชนพี่เค้าล้มแล้วไม่มีใครลงมาดู
รถคันต่อมาก็มองไม่เห็นอีก
จึงทับร่างของพี่เค้าขาดเป็นสองท่อน
ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงตกใจและเสียขวัญ
อาจจะสมน้ำหน้าเค้าบ้าง
กล่าวหาว่าเค้าประมาทเองบ้าง
แต่ตั้งแต่น้องจั๊มจากไป
ทำให้มุมมองของการเสียชีวิตต่างออกไป
และเมื่อเช้านี้...ความคิดเปลี่ยนไป
ญาติเค้าจะรู้ข่าวหรือยังนะ
และขออุทิศส่วนกุศลให้ไปสู่สุคติ
คิดได้แบบนี้ รู้สึกโล่งๆ และไม่ตกใจเลย
นี่แหละสติ...เมื่อมีสติ ปัญญาก็เกิด
Comments
เมื่อก่อนโน้ตก็คิดเหมือนกับว่า
การตาย ก็เป็นเหมือนกับหลับไป
แล้วพบกับวันใหม่
แต่ก็รู้แล้วแหละว่ามันไม่ใช่
ชีวิตเรามันไม่แค่นั่นเหมือนร่างกาย
มันยังทิ้ง ความรัก ความทรงจำ มากมาย
ให้กับคนที่ยังอยู่
ยังมีหลายสิ่งที่อยากทำแล้วไม่ได้ทำ
มีหลายสิ่งที่อยากบอกแล้วไม่ได้บอก
วันนี้ทำบุญแล้วสบายใจมากเลย
อันที่จริง เมื่อตอนต้นปีโน้ต
ก็ไปถือศีลแปดที่วัดมานะ
เพื่อน้องพี่เลยและ ตอนที่เพิ่งรู้
แต่ศีลแตก เผลอร้องเพลง > <"